วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นิทานอีสป



นิทานอีสป




                                                    ที่มาของนิทานอีสป

ก่อนอื่น เราขอบอกคร่าวๆ ว่านี่เป็นเพียงเรื่องที่เราสรุปมาคร่าวๆ แล้วเห็นว่ามันน่าจะสัมพันกัน เพราะตัวเองนั้นไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้มาก่อน 

แต่เรื่องมันเริ่มต้นที่ ตอนนี้เรากำลังเรียนเกี่ยวกับวรรณกรรม ในชั่วโมงเรียนภาษาเยอรมันอยู่ อาจารย์ที่สอนก็มักจะนำหลักการและการณ์วิจารณ์เรื่องสั้น วรรณกรรม กลอน นิทาน ตำนาน นิยาย มาสอน 

ในวันนั้น อาจารย์ได้ให้หัวข้อๆ หนึ่งมาว่า Fable (หรือ Fabel ในภาษาเยอรัมน) แล้วอธิบายว่ามันคืออะไร

Fable คือ นิทานสั้นๆ ที่ให้คติสอนใจ นิทานเปรียบเทียบ ชาดก ตำนาน ความเท็ญ โดยการนำตัวละครออกมาสื่อความหมาย ซึ่งบ้านเราเรียก Fable ว่านิทานอีสป 

แต่เราก็สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมต้องเป็นนิทานอีสป ทำไมไม่เรียกว่านิทานฟาเบล หรืออะไรประมาณนั้น  แต่มันมีที่มาที่ไป

เหตุผลที่มันมีชื่อว่า "นิทานอีกสป" มันก็มีอยู่ว่า เนื่องจากในสมัยศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล หรือ 550 ปีก่อนคริสตกาลนั้น สิทธิในการออกความเห็นทางด้านสังคมไม่ได้เท่าเทียมกันเท่าไหร่นัก

เพราะทาส ไม่มีสิทธิที่จะประกาศความคิดความเห็นออกมาอย่างโจงแจ้งได้เหมือนในทุกวันนี้ แต่เพราะเหตุนี้ ได้ทำให้เหล่าทาสรู้สึกกดดัน ซึ่ง หนึ่งในนั้นก็พยายามหาหนทางที่บอกความคิดความเห็นของตนให้คนอื่นรู้ เขาก็คือ อีสป Aesop 

อีสป คือ ทาสชาวกรีกโบราณ ที่ปลดตนเป็นไทด้วยความสามารถในการพูดของเขา เขาคือคนแรกที่คิดค้นการเล่านิทานทางศีลธรรม ผิดชอบชั่วดี โดยการนำเสนอผ่านตัวละครที่เป็น สัตว์ เพราะเขาเองไม่สามารถออกความเห็นในฐานะทาสได้อย่างตรงๆ เหมือนที่เราทำกันทุกวัน

ความฉลาดของเขา เขาได้สื่อเรื่องราวทางด้านศีลธรรมออกมา โดยไม่จำเป็นต้องเอาบุคคลมาอ้าง เพื่อให้มีตัวตน แต่ได้นำสัตว์ ที่เราไม่สามารถสื่อสารด้วยได้ มาบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ บอกเล่าการกระทำผิดชอบชั่วดี เพื่อสื่อให้คนเราได้คิดได้เห็น

(บทสรุป ผู้คิดค้นนิทานประเภทนี้ก็คือท่าน อีสป นั่นเอง)
อาจจะเป็นอย่างนี้ล่ะมั้ง นิทานศีลธรรมในบ้านเรา จึงมีชื่อว่า "นิทานอีสป"

นิทานอีสปที่ดังๆ ก็มี เด็กเลี้ยงแกะ ลาโง่ หมาจิ้งจอกกับองุ่น กระต่ายกับเต่า และยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย
ของบ้านเราก็มี ชาวนากับงูเห่า

ถ้าจะถามว่า ในทุกวันนี้ มีความจำเป็นไหมที่เราจะแต่งนิทานประเภทนี้ ก็คงตอบได้ว่าไม่จำเป็น เพราะเราสามารถออกความเห็นได้อย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนลงโทษ ตราบใดที่เราไม่ได้หมิ่นประมาทใคร แต่ในสมัยนั้นการออกความคิดเห็นเป็นเรื่องยากนักสำหรับทาสและผู้หญิง
แต่ก็น่าแปลก ที่นิทานประเภทนี้สามารถนำมาใช้ได้ตราบจนทุกวันนี้ และก็เข้ากับทุกยุคทุกสมัยด้วย 


ตอนเราเป็นเด็ก เราเคยมีเทปนิทานอีสปหนึ่งม้วน ตอนนั้นชอบฟังมาก แต่ไม่รู้หรอกว่าที่มาที่ไปมันเป็นยังไง ไม่เคยอยากรู้ด้วย เราเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ แต่เป็นคนชอบอ่านคติสอนใจ นิทานอีสปจึงเป็นสิ่งเดียวที่เราอ่านสมัยเด็กๆ แต่ตอนนี้ก็อ่านหลายอย่างแต่ไม่มากนัก 
พอรู้ที่มาที่ไปของนิทานแล้ว ก็รู้สึกแปลกดีเหมือนกัน เพราะตอนอยู่ไทยไม่ค่อยได้สนใจในห้องเรียนเท่าไหร่ พอมาอยู่ต่างแดน มีคนอธิบายชื่อของคนนั้นคนนี้ ที่ฟังแล้วมันตะหงิดๆ เลยมาลองค้นคว้าดู มันมีส่วนเกี่ยวข้องกันดีเนาะ


แหล่งอ้างอิง     http://www.zazana.com/History-/id7045.aspx


ขนาด ที่ตั้งและอาณาเขตติดต่อของทวีปยุโรป



ขนาด ที่ตั้งและอาณาเขตติดต่อของทวีปยุโรป
ทวีปยุโรปเป็นทวีปที่ตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือทั้งหมด ไม่มีดินแดนส่วนใดของทวีปอยู่ใต้เส้นทรอปิคออฟแคนเซอร์ บริเวณใต้สุดของทวีปอยู่ในแนวเดียวกับตอนกลางของประเทศจีนและตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น อาณาเขตติดต่อของทวีปยุโรปมีดังนี้ คือ
ทิศเหนือ ติดต่อกับมหาสมุทรอาร์กติก มีทะเลต่างๆ คือ ทะเลแบเรนต์ส ทะลคารา และทะเลขาว
ทิศตะวันออก ติดต่อกับทวีปเอเซีย เป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน แนวแบ่งเขตทวีปทั้งสองอย่างคร่าวๆ ถือตามแนวของเทือกเขาอูรัล แม่น้ำอูราล ทะเลแคสเปียน ทะเลดำ และเทือกเขาคอเคซัส การแบ่งเช่นนี้ทำให้มี 2 ประเทศที่มีดินแดนตั้งอยู่ในทวีปยุโรปและทวีปเอเซีย คือ รัสเซีย และตุรกี
ทิศใต้ ติดต่อกับทะเลแคสเปียน เทือกเขาคอเคซัส ทะเลดำ ทะเลมาร์มะรา และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ทิศตะวันตก ติดต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติก มีทะเลต่างๆ คือ ทะเลนอร์วิเจียน ทะเลเหนือ ทะเลไอริส และทะเลบอลติก
จำนวนและขนาดของประเทศ ทวีปยุโรปแบ่งการปกครองออกเป็น 46 ประเทศ พิจารณาตามตำแหน่งที่ตั้ง สามารถแบ่งได้ 4 กลุ่มใหญ่ คือ
1. กลุ่มยุโรปภาคตะวันตกและภาคกลาง 
นับเป็นกลุ่มที่มีควมสำคัญมากตั้งแต่อดีต ในอดีตหลายประเทศในกลุ่มนี้มีอาณานิคมกระจายอยู่ทั่วโลก ปัจจุบันเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อโลกมากทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง มีความก้าวหน้าทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเกษตรและอุตสาหกรรม ประเทศในกลุ่มนี้แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มย่อยๆ ดังนี้

กลุ่มประเทศบริเตนใหญ่ และไอร์แลนด์เหนือ (บริเตนใหญ่ประกอบด้วย อังกฤษ สกอตแลนด์และเวลส์)
กลุ่มประเทศเบเนลักซ์ ประกอบด้วย ประเทศเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์และลักเซมเบิร์ก
กลุ่มประเทศที่ไม่มีอาณาเขตจดทะเล เป็นกลุ่มประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ได้แก่ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และลิกเตนสไตน์
กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย หรือนอร์ดิก ได้แก่ นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์
ประเทศอื่นๆ ได้แก่ ประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี
2. กลุ่มยุโรปใต้ ได้แก่ ประเทศที่ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของทวีป แบ่งออกเป็น4 กลุ่มย่อยดังนี้
  • บนคาบสมุทรไอบีเรีย ได้แก่ สเปน โปรตุเกส และอันดอร์รา
  • บนคาบสมุทรอิตาลี ได้แก่ ประเทศอิตาลี
  • บนคาบสมุทรบอลข่าน ได้แก่ กรีซ แอลบาเนีย ยูโกสลาเวีย
  • บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้แก่ มอนตา ซานมาริโน โมนาโก และนครวาติกัน
3. กลุ่มยุโรปตะวันออก เป็นกลุ่มประเทศที่ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของเยอรมนี และตั้งเรียงรายตั้งแต่ทะเลบอลติกด้านเหนือลงมาถึงทะเลเอเดรียติกที่อยู่ด้านใต้ ทั้งยังเป็นกลุ่มประเทศที่เคยเป็นบริวารหรือได้รับอิทธิพลจากประเทศสหภาพโซเวียตเดิม ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันอยู่ในช่วงฟื้นฟูทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ได้แก่ โปแลนด์ เช็คและสโลวัก ฮังการี โรมาเนีย และบัลกาเรีย
4. กลุ่มประชาคมรัฐเอกราช สหภาพโซเวียตเคยเป็นประเทศที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ที่สุดของยุโรป แต่จากเหตุการณ์ยึดอำนาจจากประธานาธิบดี มิลคาอิล กอร์บาชอฟ ในช่วงวันที่ 19-21 สิงหาคม 2534 แม้ว่าการยึดอำนาจดังกล่าวจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม แต่ก็เป็นผลให้ในท้ายที่สุด สหภาพโซเวียตได้กลายเป็นกลุ่มประชาคมรัฐเอกราช ซึ่งประกอบด้วย ประเทศรัสเซีย และ 13 สาธารณรัฐ ไม่รวมสาธารณรัฐจอร์เจีย สาธารณรัฐใหม่เหล่านี้มีการปกครองของตนเอง ไม่ขึ้นกับรัสเซียอีกต่อไป

แหล่งอ้างอิง      http://202.143.144.83/~natty/europe/europe_size.htm

วิธีชงชาให้อร่อย



วิธีชงชาให้อร่อย

        
        หลักการชงชาเบื้องต้น คือ ไม่ควรแช่ชานาน ปกติเรามักจะใส่ชาเติมน้ำร้อนแล้วก็แช่ทิ้งไว้ทั้งวันอยากดื่มเมื่อไหร่ก็รินน้ำชาใส่แก้ว แล้วดื่ม และถ้าน้ำชาไม่อุ่นก็เติมน้ำร้อนหน่อยให้อุ่นขึ้นใช่ไหมคะ? วิธีการเหล่านี้เองทำให้หลายคนดื่มชาแล้วรู้สึกว่าท้องผูก หรือ ตาค้างนอนไม่หลับ เพราะการแช่ชานานๆ ทำให้สารต่างๆ เช่น แทนนิน คาเฟอีน มีปริมาณมากเกินไป เป็นต้น
        การเรียนรู้จากคนรุ่นก่อนอาม้าอากงท่านทั้งหลายเป็นนักวิทยาศาสตร์จากประสบการณ์โดยตรง ภายหลังจึงได้มีการค้นพบว่า เมื่อเราแช่ชาในน้ำร้อนนานๆ แช่ชาเข้มๆ จะมีสารแทนนินออกมาในปริมาณมากพอที่จะไปฆ่าเชื้อโรคที่ทำให้เราท้องเสียได้ อาการท้องเสียก็จะหยุดไปเมื่อเราทานชาเข้มๆ นั่นเองค่ะ คราวนี้ชงชาให้ถูกวิธีและดื่มชาให้ถูกกับเวลาที่ควรดื่ม ชาก็จะมีแต่ประโยชน์แล้วจริงไหมคะ?
        สำหรับคาเฟอีน มีลูกค้าชาวฝรั่งเศส กลุ่มหนึ่งกล่าวว่า เค้ามักจะแช่ชานานๆ ให้รสเข้มๆ และดื่มยามบ่ายเพราะเค้าต้องการคาเฟอีนจากใบชา เพื่อทำให้เค้าสดชื่นในยามบ่าย เพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นในการทำงานของเค้า อืมม์ นี่ก็เป็นอีกแนวคิดสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มชาเพื่อความสดชื่นอย่างธรรมชาติ
        
         ความคุ้นเคยในวิธีชงชาใบแบบเดิม ทำให้บางครั้งเราไม่ได้รับรสชาที่แท้จริง การชงชาแต่ละชนิดมีความเฉพาะที่แตกต่างจากหลักการเบื้องต้นไม่มากนัก แต่ก็มีความละเอียดอ่อนของตัวชาเอง ซึ่งการชงชาให้ได้รสอร่อยแบบง่ายๆ ได้ทั้งประโยชน์และประหยัดนั้นมีเคล็ดลับดังนี้ แยกตามวิธีการชงที่เหมือนกันในแต่ละชนิดนะคะ
 
ชาอูหลงต้งติ่งอูหลง, ชาอูหลงก้านอ่อน, ชาอูหลงเบอร์ 12,
ชาเถกวนอิม, ชาสี่ฤดู และ ชาจาเป่าหลง
 
1.   น้ำชงชาควรเป็นน้ำที่สะอาดหรือน้ำกรอง
2.   การชงชาอูหลงควรต้มน้ำให้เดือด
3.      ใส่ใบชา 2-3ช้อนชา สำหรับกาน้ำชาประมาณ  150-200 CC. และเติมน้ำร้อนลงในกา เพียงท่วมใบชาแล้วรินน้ำออกทันที
4.      หลังจากนั้นเติมน้ำร้อนให้เต็มกา แช่ไว้ประมาณ 1นาที
5.      แล้วรินน้ำชาออกจากกาให้หมดเพื่อดื่ม ไม่ควรแช่ทิ้งไว้
6.      ใบชาที่ชงแล้วนี้เมื่อรินน้ำออกหมด สามารถพักไว้ในกาได้เลย และชาชุดนี้ยังสามารถใช้ชงได้อีก3-4 ครั้ง แต่ควรจะภายใน 1 วันนะ
7.      การใช้น้ำร้อนลวกใบชา กาน้ำชา และอุปกรณ์ในการดื่มชาก่อนใช้ทุกครั้งจะทำให้ได้ความอร่อยและความหอมของรสชามากยิ่งขึ้น
 
นี่แหละคือ การชงชาที่ถูกต้องอย่างมีศิลปะ เพื่อให้ได้อรรถรสของชาที่คุณค้นหา
 
ชาอูหลงหอมหมื่นลี้ , ชาอูหลงมะลิ, ชาโสม
 
1.   น้ำชงชาควรเป็นน้ำที่สะอาดหรือน้ำกรอง
2.   การชงชาอูหลงต้องใช้น้ำเดือด
3.    ใส่ใบชา 2-3 ช้อนชา สำหรับกาน้ำชาประมาณ 150-200 CC.
     ไม่ควรล้างน้ำชาก่อนเพราะดอกหอมหมื่นลี้, ดอกมะลิ เป็นดอกเล็กๆ จะหายไปหมด
4.    หลังจากนั้นเติมน้ำร้อนให้เต็มกา แช่ไว้ประมาณ 1 นาที
5.    แล้วรินน้ำชาออกจากกาให้หมดเพื่อดื่ม ไม่ควรแช่ทิ้งไว้
6.   ใบชาที่ชงแล้วนี้เมื่อรินน้ำออกหมด สามารถพักไว้ในกาได้เลย และชาชุดนี้ยังสามารถใช้ชงได้อีก3-4 ครั้งแต่ควรจะภายใน 1 วันนะ
7.    การใช้น้ำร้อนลวกใบชา กาน้ำชา และอุปกรณ์ในการดื่มชาก่อนใช้ทุกครั้งจะทำให้ได้ความอร่อยและความหอมของรสชามากยิ่งขึ้น
 
! ขอแนะนำ กรณีชอบดื่มชาสไตล์นี้ แต่ชอบแบบเย็นมากกว่า มีเคล็ดลับมาฝากแบบนี้ค่ะ
 คือ เมื่อชงถึงขั้นตอนที่ 4 แทนที่จะแช่ชาแค่นาทีเดียว  ให้แช่ชาไว้ประมาณ 5 นาทีแทน แล้วรินน้ำออกมาผสมน้ำแข็ง อร่อยชื่นใจ จะเติมน้ำผึ้งนิด น้ำเชื่อมหน่อย ยิ่งชื่นใจยิ่งขึ้น
 
 
ชาเขียววิรุฬห์ (ชาเขียวผงมัจฉะ)
 
1.   น้ำชงชาควรเป็นน้ำที่สะอาดหรือน้ำกรอง
2.   การชงชาเขียวน้ำร้อน 70-80 องศา ก็ใช้ได้แล้ว หรือกดจากกระติกน้ำร้อนธรรมดาใช้ได้เลยจ้า
3.    ใส่ใบชา ½ - 1 ช้อนชา สำหรับแก้วน้ำชาประมาณ 150-200 CC.
4.    หลังจากนั้นเติมน้ำร้อน หรือ นมสด ให้เต็มแก้ว คนๆ แล้วดื่มได้เลย
5.    สามารถเติมน้ำผึ้งเพื่อความอร่อยยิ่งขึ้น
ชงชาเขียววิรุฬห์ ทิ้งไว้สักพัก จะเกิดตะกอนชา ซึ่งทานได้ค่ะ เป็นไฟเบอร์ช่วยย่อยดีมาก คิดเหมือนเราทานผักน่ะค่ะ แต่อันนี้บดให้แล้ว ไม่ต้องห่วงจะไปค้างที่ไตหรือเปล่า เค้าจะช่วยย่อยอาหารที่กระเพราะดีเยี่ยมเลยค่ะ
 
แนะนำ ชาเขียววิรุฬห์น้ำผึ้ง แบบเย็น
1.    ใส่ผงชา 1 ช้อนชา ลงไปในขวดที่มีฝาปิด
2.     เติมน้ำแข็งประมาณ 1/2 ของขวด
3.   เอาน้ำผึ้งละลายน้ำร้อนนิดเดียว พอให้น้ำผึ้งละลายหมดใส่ไปในขวด 
4.    แล้วเติมน้ำเย็น ¾ ของขวดเพื่อให้เหลือเนื้อที่ในการเขย่า
5.    เขย่าๆ พอให้เกิดฟองแล้ว รินใส่แก้ว ดื่มอร่อยสดชื่น
 
แนะนำ ชาเขียววิรุฬห์ นมเย็น
1.    ใส่ผงชา 1 ช้อนชาพูน ลงไปในขวดที่มีฝาปิด
2.    เติมน้ำแข็งประมาณ 1/2 ของขวด 
3.    เติมน้ำเชื่อมหรือน้ำตาลตามความชอบ
4.  เติมนมเย็น ¾ ของขวดเพื่อให้เหลือเนื้อที่ในการเขย่า  
5.    เขย่าๆ พอให้เกิดฟองแล้ว รินใส่แก้ว ดื่มอร่อยสดชื่น
  
 
ชาเขียวอูหลง, ชามะลิ,ชาเขียว
 
1.   น้ำชงชาควรเป็นน้ำที่สะอาดหรือน้ำกรอง
2.   การชงชาควรใช้น้ำ 70-80 องศาก็ใช้ได้แล้ว คือ น้ำที่กดจากกระติกน้ำร้อนแบบปกติใช้ได้เลยค่ะ
3.    ใส่ใบชา 2-3 หยิบมือ สำหรับกาน้ำชาประมาณ 150-200 CC. ชาประเภทนี้จะฟูๆ คือ ใช้ช้อนชาตวงไม่ได้ จึงให้ใช้หยิงมือแทน จะ 2 นิ้วหยิบ 3 นิ้วหยิบ หรือ 4 นิ้วหยิบ ก็แล้วแต่ความเข้มอ่อนที่ชอบเลยคะ
4.    การเติมน้ำชาพอให้ท่วมใบชานิดเดียว แล้วรินทิ้งทันที ถือเป็นการกระตุ้นให้ชาเขียวให้ออกรสในการชงน้ำที่สองได้เร็วและมีกลิ่นหอมมากขึ้น
5.    หลังจากนั้นเติมน้ำร้อนให้เต็มกา แช่ไว้ประมาณ 1 นาที
6.    แล้วรินน้ำชาออกจากกาให้หมดเพื่อดื่ม ไม่ควรแช่ทิ้งไว้
7.    ใบชาที่ชงแล้วนี้เมื่อรินน้ำออกหมด สามารถพักไว้ในกาได้เลย และชาชุดนี้ยังสามารถใช้ชงได้อีก3-4 ครั้งแต่ควรจะภายใน 1 วันนะ
8.    การใช้น้ำร้อนลวกใบชา กาน้ำชา และอุปกรณ์ในการดื่มชาก่อนใช้ทุกครั้งจะทำให้ได้ความอร่อยและความหอมของรสชามากยิ่งขึ้น
 
! ขอแนะนำ  ชาทั้ง 3 ชนิดนี้ชงแบบเย็นอร่อยไม่แพ้ใครนะ ทำแบบนี้เลยค่ะ
คือ เมื่อชงถึงขั้นตอนที่ 4 แช่ไว้ประมาณ 5 นาที แล้วรินน้ำออกมาผสมน้ำแข็งนิด น้ำตาลหน่อย อร่อยชื่นใจจริงๆ
 
ชามะระ
 
1.   น้ำชงชาควรเป็นน้ำที่สะอาดหรือน้ำกรอง
2.   การชงชาควรใช้น้ำ 70-80 องศาก็ใช้ได้แล้ว
3.    ใส่ใบชา 6-7 ใบ สำหรับกาน้ำชาประมาณ 150 CC.
4.    หลังจากนั้นเติมน้ำร้อนให้เต็มกา แช่ไว้ประมาณ 1 นาที
5.    แล้วรินน้ำชาออกจากกาให้หมดเพื่อดื่ม ไม่ควรแช่ทิ้งไว้
6.    ใบชาที่ชงแล้วนี้เมื่อรินน้ำออกหมด สามารถพักไว้ในกาได้เลย และชาชุดนี้ยังสามารถใช้ชงได้อีก3-4 ครั้งแต่ควรจะภายใน 1 วันนะ 
7.    การใช้น้ำร้อนลวกใบชา กาน้ำชา และอุปกรณ์ในการดื่มชาก่อนใช้ทุกครั้งจะทำให้ได้ความอร่อยและความหอมของรสชามากยิ่งขึ้น
 
กรณีดื่มชามะระคนเดียว สามารถใช้ใบชามะระ 2-3 ใบแล้วเติมน้ำร้อน โดยไม่ต้องรินน้ำออกก็ได้ และสามารถเติมน้ำร้อนได้เรื่อยๆ ดื่มได้ทั้งวันจนใบชาหมดรสชาติ
 
  
 
วิธีชงชาสะดวกชง
 
1.    ใช้ชา 1 ซองผสมน้ำร้อน 80-90 องศา จำนวนน้ำ 250 มล.
2.    แช่น้ำนาน 3 นาที พร้อมดื่ม
3.  แช่ซ้ำนาน 3 นาที อีกรอบยังอร่อยพอไหวค่ะ


แหล่งอ้างอิง     http://www.suwirunteashop.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2.html
 

การเขียนเรียงความ



 การเขียนเรียงความ


             เรียงความ คือการใช้ศิลปะทางการเขียนร้อยแก้วแสดงความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ

และความเข้าใจของผู้เขียนอย่างสละสลวย       เรียงความจะต้องประกอบด้วยส่วนที่เป็นคำนำ 

 เนื้อเรื่อง  และสรุป 

เรียงความที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้

               มีเอกภาพ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หมายความว่าไม่ให้เขียนนอกเรื่อง

               มีสัมพันธภาพ คือ ความสัมพันธ์กัน หมายถึง ข้อความแต่ละข้อความหรือแต่ละย่อหน้า

จะต้องมีสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน

               มีสารัตถภาพ คือ การเน้นสาระสำคัญของย่อหน้าแต่ละย่อหน้า และของเรื่องทั้งหมด

โดยใช้ประโยคสั้น ๆ สรุปกินความทั้งหมด



ขอเพิ่มเติมเป็นการส่วนตัวค่ะ

                ก่อนเขียนเรียงความนั้นจะต้องตีโจทย์ให้แตกว่า ชื่อเรื่องที่เขาให้มานั้น หมายถึงอะไร

เกี่ยวโยงกับอะไร ข้อมูลที่จะเขียนลงไปนั้นต้องถูกต้องชัดเจน ดังนั้นผู้เขียนจะต้องรู้ชัดรู้จริง 


การเขียนคำนำ

         เป็นการเกริ่นเรื่อง ขอย้ำว่าแค่เกริ่นนะคะอย่าลึก ใช้คำโอบความหมายกว้างๆ เช่น

เรียงความเรื่องแม่ของฉัน      ควรกล่าวถึงแม่โดยทั่วไปก่อน เขียนให้กินใจ น่าอ่าน น่าติดตาม

แต่ยังไม่ควรเล่าว่า " แม่ของฉัน "เป็นอย่างไร



เนื้อเรื่อง


         เนื้อเรื่องเป็นส่วนที่มีใจความสำคัญ ประเด็นสำคัญตามห้วข้อ ดังนั้นจะต้องเขียนให้ละเอียด

ครอบคลุม ชัดเจน   เช่น เรื่องแม่ของฉัน ในย่อหน้าเนื้อเรื่องให้พรรณนาถึงพระคุณแม่

( เขียนในด้านบวก )



สรุป


         กลับไปอ่านคำนำและเนื้อเรื่องและสรุปจบให้ไปในทิศทางเดียวกัน ขอแนะนำว่า ควรให้

ข้อแนะนำ หรือแนวคิดดีๆ แล้วลงท้ายด้วยประโยคที่น่าสนใจ


          การเขียนเรียงความนั้นอาจจะขึ้นต้นย่อหน้าคำนำ หรือปิดท้ายในหัวข้อสรุป ด้วย กลอน

คติพจน์ วาทะ หรือคำขวัญ     เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้น่าติดตาม ( ถ้ายืมคำใครเขามาอย่าลืมอ้างอิง

นะคะ )     ภายในเรียงความควรประกอบด้วยโวหารหลายๆชนิด เพื่อให้ได้อรรถรสในการอ่าน  ขั้นตอน

ในการเตรียมตัวเขียน นอกจากจะต้องเตรียมข้อมูลจัดทำโครงเรื่องแล้ว ควรเลือกใช้สำนวนโวหารให้

เหมาะกับเนื้อความที่ จะเขียน สำนวนโวหารในภาษาไทย แบ่งออกเป็น ๕ คือ

๑) บรรยายโวหาร

๒) พรรณนาโวหาร

๓) เทศนาโวหาร

๔) สาธกโวหาร

๕) อุปมาโวหาร   

              ๑. บรรยายโวหาร คือ โวหารที่ใช้เล่าเรื่อง หรืออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ตามลำดับเหตุการณ์

การเขียนบรรยายโวหารจะมุ่งความชัดเจน เขียน ตรงไปตรงมา รวบรัด กล่าวถึงแต่สาระสำคัญ

ไม่จำเป็นต้องมีพลความ หรือความปลีกย่อยเสริม ในการเขียนทั่ว ๆ ไปมักใช้บรรยายโวหาร เพราะ

เหมาะในการติดต่อสื่อสารเนื่องจากสำนวนประเภทนี้มุ่งสาระเขียนอย่างสั้น ๆ ได้ความชัดเจน


             ๒. พรรณนาโวหาร มีจุดมุ่งหมายในการเขียนต่างจากบรรยายโวหาร คือมุ่งให้ความแจ่มแจ้ง

 ละเอียดลออ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ซาบซึ้งเพลิดเพลินไปกับข้อความนั้นการเขียนพรรณาโวหารจึง

ยาวกว่าบรรยายโวหารมาก แต่มิใช่การเขียนอย่างเยิ่นเย้อ เพราะพรรณนา-โวหารต้องมุ่งให้ภาพ

และอารมณ์ ดังนั้น จึงมักใช้การเล่นคำ เล่นเสียง ใช้ภาพพจน์แม้เนื้อความที่เขียนจะน้อยแต่เต็มไป

สำนวนโวหารที่ไพเราะ อ่านได้รสชาติ


                ๓. เทศนาโวหาร หมายถึง โวหารที่มีจุดหมายแสดงความแจ่มแจ้งเพื่อให้ผู้อ่านคล้อยตาม

หรืออาจกล่าวได้ว่ามุ่งชักจูงให้ผู้อ่านคิดเห็นหรือคล้อยตามความคิดเห็นของผู้เขียนเทศนาโวหาร

จึงยากกว่าโวหารที่กล่าว



               ๔.สาธกโวหาร คือ โวหารที่มุ่งให้ความชัดเจน โดยการยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้แจ่มแจ้ง

หรือสนับสนุนความคิดเห็นที่เสนอให้หนักแน่น น่าเชื่อถือ สาธกโวหารเป็นโวหารเสริม บรรยายโวหาร

 พรรณนาโวหาร

              ๕.อุปมาโวหาร หมายถึง โวหารเปรียบเทียบ โดยกตัวอย่าง สิ่งที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบ

เพื่อให้เกิดความชัดเจนด้านความหมาย ด้านภาพ และเกิดอารมณ์ ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น กล่าวได้ว่า

อุปมาโวหาร คือ ภาพพจน์ประเภทอุปมานั่นเอง อุปมาโวหารใช้เป็นโวหารเสริม บรรยายโวหาร

พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เพื่อให้ชัดเจนน่าอ่าน โดยอาจเปรียบเทียบอย่างสั้น ๆ หรือ

เปรียบเทียบอย่างละเอียดก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปมา โวหารนั้นจะนำไปเสริมโวหารประเภทใด 

               การเขียนเรียงความที่ดีนั้นควรตีกรอบความคิดของผู้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน  เพราะจะทำให้

งานเขียนไม่วกวน จนผู้อ่านเกิดความสับสนทางความคิด   และที่สำคัญเรียงความจะต้องใช้ภาษา

อย่างเป็นทางการ  อย่าใช้ภาษาพูดเป็นอันขาดเพราะจะทำให้งานเขียนขาดความน่าเชื่อถือ



แหล่งอ้างอิง        http://www.pasasiam.com/home/index.php/general/readawrite/

                            167-2008-09-07-05-00-43

การทำความดี





การทำความดี 
     การทำความดี คือ การประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีซึ่งจะต้องเกิดจากเจตนาที่ดีการทำความดีสามารถปฏิติได้ทั้งกาย วาจาและใจดังนี้           
            
     ผลของการทำความดี เช่น
     -ผู้ทำเกิดความสุขกาย สุขใจ เพราะได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
     -ผู้ทำและผู้รับอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
     -สังคมสงบสุข
     -เกิดความรักความสามัคคี
     -ได้รับการยกย่องจากผู้อื่น
     การปฏิบัติตนดีในฐานะเป็นศาสนิกชน
     ๑. ยึดมั่นในหลักคำสอนของศาสนาของตน
     ๒. ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก
     ๓. ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
     ๔. ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
     ๕. เข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
     การปฏิบัติตนดีในฐานะเป็นบุตร     ๑. เคารพและเชื่อฟังคำสั่ง
     ๒. ช่วยทำงานบ้านด้วยความเต็มใจ
     ๓. ประหยัดอดออม
     ๔. รักใคร่มีความสามัคคีกัน
     ๕. เมื่อเติบโตต้องเลี้ยงดูบิดามารดา
     ๖. เมื่อบิดามารดาล่วงลับไปแล้ว ต้องทำบุญให้ท่าน
     การปฏิบัติตนดีในฐานะเป็นลูกศิษย์     ๑. เชื่อฟังคำสั่งสอนของครูอาจารย์
     ๒. ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
     ๓. แสดงความเคารพด้วยความนอบน้อม
     ๔. พูดจาสุภาพอ่อนหวาน
     ๕. ปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายด้วยความตั้งใจ
     ๖. ระลึกถึงแลตอบแทนบุญคุณของครู



แหล่งอ้างอิง    http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=1604

อ้างอิงรูป       http://u51152792012.blogspot.com/2010/10/blog-post_09.html

8 วิธีทำความสะอาดบ้านให้ติดเป็นนิสัย



8 วิธีทำความสะอาดบ้านให้ติดเป็นนิสัย



          หลังจากกลับบ้าน ก็รีบถอดรองเท้า แล้วโยนกระเป๋าไว้บนโซฟา จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน ไม่มีวันไหนเลยที่คุณลุกขึ้นมาทำความสะอาด แต่ก็บ่นว่าบ้านสกปรกทุกวัน คุณเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่าคะ? ถ้าคุณยังมีกิจวัตรประจำวันแบบนี้อยู่ล่ะก็ บ้านของคุณไม่มีทางสะอาดขึ้นอย่างแน่นอน ต่อให้คุณจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด สุดท้ายก็เจอกับสภาพของรก ๆ อยู่ดี ฉะนั้นเริ่มจากตัวคุณก่อนดีที่สุด สร้างนิสัยรักความสะอาดเริ่มจากของใกล้ตัว เช่นของใช้ในบ้านก่อน แล้วค่อยจัดแจงดูแลทำความสะอาดบ้านของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความสะอาดที่กลายเป็นนิสัยยังไงล่ะคะ

1. วางรองเท้าให้เป็นระเบียบ

          ก่อนเข้าบ้านเสียเวลาเอารองเท้าไปวางบนชั้นสักนิด ก็ทำให้บ้านดูเป็นระเบียบขึ้นเยอะ อาจจะแยกชั้น แยกตู้ตามจำนวนรองเท้าของสมาชิกในบ้าน และในตู้วางรองเท้าควรมีอุปกรณ์ทำความสะอาดรองเท้าด้วย ทำให้รองเท้าสะอาดก่อนออกจากบ้าน เพิ่มความมั่นใจให้คุณมากขึ้น ส่วนบริเวณประตู ควรนำพรมเช็ดเท้ามาวาง เพื่อทำความสะอาดฝุ่นที่ติดมากับเท้า และเพื่อป้องกันฝุ่นจากภายนอกด้วย


2. จัดการฝุ่นในบ้านด้วยเครื่องดูดฝุ่น

          การใช้เครื่องดูดฝุ่นเป็นวิธีกำจัดฝุ่นที่ดีกว่าการใช้ไม้กวาด เอาไว้สำหรับดูดในบริเวณที่ไม้กวาดไม่สามารถจัดการได้ เช่น พรม หรือตามซอกต่าง ๆ ของบ้าน เพราะเครื่องดูดฝุ่นมีสามารถเปลี่ยนหัวปรับ ให้ทำความสะอาดในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ จะเป็นฝุ่น ขนสัตว์ เศษแก้ว ก็ไม่หวั่น แถมยังใช้เวลาน้อยกว่าการกวาดบ้านอีกด้วย

3. เช็ดน้ำในห้องน้ำให้แห้ง

          หลังการอาบน้ำหากมีสบู่หรือแชมพูหยดลงบนพื้นควรทำความสะอาดให้เรียบร้อย แล้วเช็ดฝ้าบนกำแพง และไล่น้ำบนพื้นออกไปให้หมด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุในห้องน้ำในการอาบน้ำครั้งต่อไป โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องน้ำ ควรมีชั้นวางเป็นที่เก็บอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำของคุณ 

4. รีบเช็ดอ่างล้างหน้าหลังใช้

          หลังจากที่คุณแปรงฟัน หรือล้างหน้าเสร็จแล้ว ควรเช็ดอ่างล้างหน้าสะอาด เพราะถ้าปล่อยให้อ่างแห้งเอง ก็จะมีคราบยาสีฟันหรือโฟมล้างหน้าของคุณเหลือเอาไว้ควรใช้น้ำส้มสายชูประมาณ 1 ถ้วยเททิ้งไว้ 1 คืน แล้วค่อยมาราดน้ำทำความสะอาดอีกครั้งในตอนเช้า จะช่วยขจัดคราบต่าง ๆ ออกจากอ่างล้างหน้าได้ดี นอกจากนี้หากคุณแปรงผมใกล้อ่างล้างหน้า ก็อย่าลืมเก็บเศษผมไปทิ้งด้วย เพราะเศษผมเป็นสาเหตุสำคัญ อาจทำให้ท่อน้ำอุดตันได้นะคะ


5. กำจัดของเก่าในตู้เย็น

          ก่อนที่จะใส่ของใหม่เข้าไป นำของที่หมดอายุหรือของที่ไม่รับประทานแล้วออกมาทิ้งก่อน จากนั้นเช็ดด้วยน้ำยาทำความสะอาด หรือผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ โดยเช็ดให้ทั่วบริเวณ แล้วค่อยใส่ของใหม่เข้าไป นอกจากจะได้พื้นที่สำหรับวางของเพิ่มแล้ว ยังช่วยประหยัดไฟฟ้าได้อีกด้วย


6. ทำความสะอาดเตาแก๊ส

          ในกรณีที่น้ำในหม้อที่คุณทำอาหารล้นออกมาจนเตาแก๊สเลอะเทอะมีคาบสกปรก หรือมีน้ำมันกระเด็น หลังจากที่คุณปรุงอาหารเสร็จแล้ว ก็ควรทำความสะอาดทันที เพราะคราบเหล่านี้จะเกาะติดแน่น ถ้าหากทิ้งไว้นานจะทำความสะอาดยากกว่าส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะคราบน้ำมัน โดยเลือกใช้น้ำยาขจัดคราบเพื่อทำความสะอาด และอย่าลืมใส่ถุงมือด้วยนะคะ เพราะน้ำยาเหล่านี้มีฤทธิ์กัดกร่อน อาจะเป็นอันตรายกับผิวหนังของคุณได้

7. กำจัดกลิ่นในครัว

          กลิ่นอาหารที่แม้จะหอมขนาดไหน แต่ถ้ารวมกับกลิ่นควัน หรือมีหลาย ๆ กลิ่นรวมกัน ก็ทำให้ปวดหัวได้นะ วิธีกำจัดกลิ่นง่าย ๆ คือการผสมโซดาไฟกับน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย และน้ำมะนาวครึ่งซีก แล้วฉีดรอบ ๆ ห้องทิ้งไว้ 10 - 20 นาที กลิ่นไม่พึงประสงค์ก็จะหายไปทันที เป็นการแก้ปัญหาในครัวด้วยอุปกรณ์ในครัวของแท้เลยล่ะ

8. เก็บของให้เป็นที่

          หยิบมาจากตรงไหน ใช้เสร็จแล้วก็นำกลับไปวางไว้ที่เดิม ไม่ต้องเสียเวลาจัดของใหม่ ทำให้บ้านสะอาดขึ้นเป็นกอง เช่น อุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องน้ำและห้องครัว ใส่กล่องหรือใส่ถังรวมเอาไว้ และวางไว้บริเวณใต้อ่างล้านจาน หรืออ่างล้างหน้า คราวนี้จะหยิบใช้ก็สะดวก ไม่ต้องเสียเวลาหาของอีกด้วย


แหล่งอ้างอิง     http://home.kapook.com/view44897.html

ประวัติวันลอยกระทง ประเพณีลอยกระทง


ประวัติวันลอยกระทง ประเพณีลอยกระทง


ลอยกระทง
ลอยกระทง


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม 


          ใกล้ถึงเทศกาลวันลอยกระทง 2555 กันแล้ว ซึ่งปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 28 พฤศจิกายน …เชื่อว่าหลายคนคงเตรียมตัวควงหวานใจ หรือพาครอบครัวไปลอยกระทงร่วมกันที่ใดที่หนึ่งแล้ว อ๊ะ ๆ ...แต่ก่อนที่จะไปลอยกระทงกันนั้น เรามาทำความรู้จักประเพณีลอยกระทงให้ถ่องแท้กันก่อนดีกว่าค่ะ จะได้เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของประเพณีอย่างแท้จริง 
กำหนดวันลอยกระทง

          วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือถ้าเป็นปฏิทินจันทรคติล้านนาจะตรงกับเดือนยี่ และหากเป็นปฏิทินสุริยคติจะราวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเดือน 12 นี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อากาศจึงเย็นสบาย และอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก มีน้ำขึ้นเต็มฝั่ง ทำให้เห็นสายน้ำอย่างชัดเจน อีกทั้งวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทำให้สามารถเห็นแม่น้ำที่มีแสงจันทร์ส่องกระทบลงมา เป็นภาพที่ดูงดงามเหมาะแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง

ประวัติความเป็นมาของวันลอยกระทง
ลอยกระทง

          ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า"พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน

          ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า 
          ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศที่ว่า

          "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลาย..."

          เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า "ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน" พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

          ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า "เรือลอยประทีป" ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย

เหตุผลและความเชื่อของการลอยกระทง 
          สาเหตุที่มีประเพณีลอยกระทงขึ้นนั้น เกิดจากความเชื่อหลาย ๆ ประการของแต่ละท้องที่ ได้แก่

          1.เพื่อแสดงความสำนึกถึงบุญคุณของแม่น้ำที่ให้เราได้อาศัยน้ำกิน น้ำใช้ ตลอดจนเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงไปในน้ำ อันเป็นสาเหตุให้แหล่งน้ำไม่สะอาด

          2.เพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ และได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนหาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุทท

          3.เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เพราะการลอยกระทงเปรียบเหมือนการลอยความทุกข์ ความโศกเศร้า โรคภัยไข้เจ็บ และสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ให้ลอยตามแม่น้ำไปกับกระทง คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์

          4.เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุต ที่ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล โดยมีตำนานเล่าว่าพระอุปคุตเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถปราบพญามารได้ 

          5.เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

          6.เพื่อความบันเทิงเริงใจ เนื่องจากการลอยกระทงเป็นการนัดพบปะสังสรรค์กันในหมู่ผู้ไปร่วมงาน

          7.เพื่อส่งเสริมงานฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ เพราะเมื่อมีเทศกาลลอยกระทง มักจะมีการประกวดกระทงแข่งกัน ทำให้ผู้เข้าร่วมได้เกิดความคิดแปลกใหม่ และยังรักษาภูมิปัญญาพื้นบ้านไว้อีกด้วย

ประเพณีลอยกระทงในแต่ละภาค

          ลักษณะการจัดงานลอยกระทงของแต่ละจังหวัด และแต่ละภาคจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันคือ

ลอยกระทง


           ภาคเหนือ (ตอนบน) จะเรียกประเพณีลอยกระทงว่า "ยี่เป็ง" อันหมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่  (เดือนยี่ถ้านับตามล้านนาจะตรงกับเดือนสิบสองในแบบไทย) โดยชาวเหนือจะนิยมประดิษฐ์โคมลอย หรือที่เรียกว่า "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" โดยการใช้ผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ ให้โคมลอยขึ้นไปในอากาศ เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุตต์ ซึ่งเชื่อกันว่าท่านบำเพ็ญบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล ตรงกับคติของชาวพม่า

ลอยกระทง

           จังหวัดตาก จะประดิษฐ์กระทงขนาดเล็ก แล้วปล่อยลอยไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เรียงรายเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
 
ลอยกระทง



           จังหวัดสุโขทัย เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องประเพณีลอยกระทง ด้วยความเป็นจังหวัดต้นกำเนิดของประเพณีนี้ โดยการจัดงาน ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ที่จังหวัดสุโขทัยถูกฟื้นฟูกลับมาอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.2520 ซึ่งจำลองบรรยากาศงานมาจากงานลอยกระทงสมัยกรุงสุโขทัย และหลังจากนั้นก็มีการจัดงานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟขึ้นที่จังหวัดสุโขทัยทุก ๆ ปี มีทั้งการจัดขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล และไฟพะเนียง
ลอยกระทง

           ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ งานลอยกระทงจะเรียกว่า เทศกาลไหลเรือไฟ โดยจัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ทุกปีในจังหวัดนครพนม มีการนำหยวกกล้วย หรือวัสดุต่าง ๆ มาตกแต่งเรือ และประดับไฟอย่างสวยงาม และตอนกลางคืนจะมีการจุดไฟปล่อยกระทงให้ไหลไปตามลำน้ำโขง 

           กรุงเทพมหานคร มีการจัดงานลอยกระทงหลายแห่ง แต่ที่เป็นไฮไลท์อยู่ที่ "งานภูเขาทอง" ที่จะเนรมิตงานวัดเพื่อเฉลิมฉลองประเพณีลอยกระทง ส่วนใหญ่จัดอยู่ราว 7-10 วัน ตั้งแต่ก่อนวันลอยกระทง จนถึงหลังวันลอยกระทง
ลอยกระทง

           ภาคใต้ มีการจัดงานลอยกระทงในหลาย ๆ จังหวัด เช่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่มีงานยิ่งใหญ่ทุกปี


กิจกรรมในวันลอยกระทง 
          ในปัจจุบันมีการจัดงานลอยกระทงทุก ๆ จังหวัด ซึ่งจะมีกิจกรรมแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ แต่กิจกรรมที่มีเหมือน ๆ กันก็คือ การประดิษฐ์กระทง โดยนำวัสดุต่าง ๆ ทั้งหยวกกล้วย ใบตอง หรือจะเป็นกาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว ฯลฯ มาประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เครื่องสักการบูชา ให้เป็นกระทงที่สวยงาม ภายหลังมีการใช้วัสดุโฟมที่สามารถประดิษฐ์กระทงได้ง่าย แต่จะทำให้เกิดขยะที่ย่อยสลายยากขึ้น จึงมีการรณรงค์ให้เลิกใช้กระทงโฟมเพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ก่อนจะมีการดัดแปลงวัสดุทำกระทงให้หลากหลายขึ้น เช่น กระทงขนมปัง กระทงกระดาษ กระทงพลาสติกชนิดพิเศษ เพื่อให้ย่อยสลายง่ายและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม
ลอยกระทง

ลอยกระทง

ลอยกระทง

          เมื่อไปถึงสถานที่ลอยกระทง ก่อนทำการลอยก็จะอธิษฐานในสิ่งที่ปรารถนาขอให้ประสบความสำเร็จ หรือเสี่ยงทายในสิ่งต่าง ๆ จากนั้นจึงปล่อยกระทงให้ลอยไปตามสายน้ำ และในกระทงมักนิยมใส่เงินลงไปด้วย เพราะเชื่อกันว่าเป็นการบูชาพระแม่คงคา

          นอกจากการลอยกระทงแล้ว มักมีกิจกรรมประกวดนางนพมาศอันเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเพณีลอยกระทง และตามสถานที่จัดงานจะมีการประกวดกระทง ขบวนแห่ มหรสพสมโภชต่าง ๆ บางแห่งอาจมีการจุดพลุ ดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองด้วย
ลอยกระทง



เพลงประจำเทศกาลลอยกระทง

          เมื่อเราได้ยินเพลง "รำวงลอยกระทง" ที่ขึ้นต้นว่า "วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง..." นั่นเป็นสัญญาณว่าใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้ว ซึ่งเพลงนี้เป็นที่คุ้นหูของทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ เพราะในต่างประเทศมักเปิดเพลงนี้ต้อนรับนักท่องเที่ยว เพื่อแสดงถึงความเป็นประเทศไทย

          เพลงรำวงวันลอยกระทงแต่งโดยครูแก้ว อัจฉริยกุล ผู้ให้ทำนองคือ ครูเอื้อ สุนทรสนาน แห่งสุนทราภรณ์ ซึ่งครูเอื้อได้แต่งเพลงนี้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2498 ขณะที่ได้ไปบรรเลงเพลงที่บริเวณคณะบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีผู้ขอเพลงจากครูเอื้อ ครูเอื้อจึงนั่งแต่งเพลงนี้ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงจึงเกิดเป็นเพลง "รำวงลอยกระทง" ที่ติดหูกันมาทุกวันนี้ มีเนื้อร้องว่า

          วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง 
          เราทั้งหลายชายหญิง 
          สนุกกันจริง วันลอยกระทง 
          ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง 
          ลอยกระทงกันแล้ว 
          ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง 
          รำวงวันลอยกระทง รำวงวันลอยกระทง 
          บุญจะส่งให้เราสุขใจ บุญจะส่งให้เราสุขใจ 


แหล่งอ้างอิง      http://hilight.kapook.com/view/30438